นาค (Naga) คือ มังกร (Dragon)
เมื่อพูดถึง "นาค" หรือ "มังกร" หลายคนมักจะคิดว่ามันเป็นเพียงสัตว์ในเทพนิยาย เป็นเรื่องเล่าปรัมปราที่ไม่มีอยู่จริง
ก่อนอื่น ควรมาทำความรู้จักคำศัพท์สองคำนี้กันให้ดีเสียก่อน โดยความหมายของคำว่า "มังกร" นักวิชาการตะวันตกให้ความหมายไว้ว่า เป็นสัตว์ในตำนาน เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะคล้ายงูหรือสัตว์เลื้อยคลาน เป็นเรื่องลึกลับในหลายวัฒนธรรม
รากศัพท์ของคำว่า "Dragon" ในภาษาอังกฤษ มาจากศัพท์ภาษากรีกว่า "δράκων" (drákon) ซึ่งหมายถึง "งูยักษ์"
ส่วนคำว่า "นาค" ในภาษาไทย มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี-สันสกฤตว่า "Nāga" (นาคา) อันหมายถึง "งูยักษ์" เช่นเดียวกัน
[คำว่า Nāga มีหลายความหมายหลายบริบท ไม่ได้ใช้หมายถึงงูขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว]
"นาค" หรือ "มังกร" เป็นสัตว์ในภพภูมิทิพย์ ซึ่งเป็นมิติคู่ขนานกับมิติที่มนุษย์อาศัยอยู่ มีลักษณะกึ่งเทพกึ่งสัตว์เดรัจฉานเฉกเช่นเดียวกับ "ครุฑ" (Garuda) มีหลายชั้นหลายตระกูล นาคหรือมังกรมีมาก่อนสมัยพุทธกาล ส่วนมากอาศัยอยู่ที่เมืองบาดาลใต้น้ำส่วนที่ลึกมาก เช่น แม่น้ำ หนอง คลอง บึงต่างๆ ในทะเล ในมหาสมุทร จนไปถึงในอากาศ เป็นต้น
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา กล่าวถึงนาคไว้หลายตอน งูวิเศษชนิดนี้มีอิทธิฤทธิ์ มีพิษร้ายแรงกว่างูทั้งหลาย สามารถพ่นควันได้ พ่นไฟได้ พ่นพิษได้ เหาะเหินไปในอากาศได้ แปลงกายเป็นมนุษย์ก็ได้ และเมืองไทยไม่ใช่ที่เดียวที่มีมิติคู่ขนานที่เรียกกันว่า "โลกทิพย์" ในทวีปอื่นๆ บนโลกนี้ พวกเขาก็มีเรื่องราวของสัตว์ในเทพนิยายเหมือนกันกับเรา อยู่ในภพภูมิทิพย์เหมือนกัน แต่อาจเรียกต่างกันไปตามภาษาพื้นเมืองของเขา ที่ซึ่งเขาเคารพนับถือบูชากันมาเป็นพันปีหมื่นปีแล้ว เช่น นาคของจีนเรียกว่า "龙" (Lóng) หรือนาคญี่ปุ่นเรียกว่า "龍" (Ryū) เป็นต้น
ในสารคดีลุ่มแม่น้ำโขงได้บอกเอาไว้ว่า ต้นสายของแม่น้ำบนสุด เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่คนจีนเชื่อว่าเป็นที่อยู่อาศัยของมังกร (นาค)
นาคมีถิ่นที่อยู่ตามบันไดเวียนชั้นที่ ๑ รอบๆ เขาพระสุเมรุ ตรงส่วนที่จมลงในมหาสมุทรสีทันดร และบางส่วนอยู่บนโลกมนุษย์ โดยมีตั้งแต่ในแม่น้ำ หนอง คลอง บึงต่างๆ ในทะเล ในมหาสมุทร จนไปถึงในอากาศ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น
นาคมีวิชาเวทมนตร์คาถาต่างๆ ด้วย ชื่อว่าวัตถุวิชา คือ วิชาที่เสกวัตถุให้เป็นไปตามปรารถนา เช่น วิชาเสกใบไม้เป็นนก เสกใบมะขามเป็นแตน-ต่อ ฯลฯ และภูมิวิชา คือ วิชาเสกสถานที่หรือวัตถุให้เป็นที่อยู่อาศัย เช่น วิชาเสกท้องทะเล เสกมหาสมุทร ให้เป็นนาคพิภพ เป็นที่ตั้งวิมานและทิพยสมบัติต่างๆ เป็นต้น
นาค (มังกร) เป็นบริวารของท้าววิรูปักษ์ ซึ่งเป็น ๑ ในท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ โดยมี ๔ ตระกูลใหญ่ ได้แก่ ตระกูลวิรูปักษ์ (นาคตระกูลสีทอง) ตระกูลเอราปถ (นาคตระกูลสีเขียว) ตระกูลฉัพยาบุตร (นาคตระกูลสีรุ้ง) ตระกูลกัณหาโคตมกะ (นาคตระกูลสีดำ)
นาคมีทั้งที่เสพกามคุณและทั้งที่ไม่เสพกามคุณ มีอายุสั้นบ้าง อายุยืนนานบ้าง
เวลาที่ต้องการท่องเที่ยวไปในมนุษย์โลก บางทีก็ไปในร่างกายเดิมของตน บางทีก็เนรมิตกาย เป็นเสือ เป็นราชสีห์ เป็นมนุษย์ ฯลฯ แล้วจึงท่องเที่ยวไป
และถึงแม้จะเนรมิตกายเป็น "มนุษย์" ได้ แต่ก็ไม่สามารถจะคงร่างเนรมิตไว้ได้ตลอดไป เพราะจะต้องปรากฏร่างเป็นนาคตามเดิม เมื่ออยู่ในอาการประจำ ๕ อย่าง คือ
๑.ในขณะปฏิสนธิ (เมื่อเกิด)
๒.ในขณะลอกคราบ (เหมือนงูทั่วไป)
๓.ในขณะเสพเมถุนกับนางนาค
๔.ในขณะนอนหลับโดยปราศจากสติ
๕.ในขณะตาย
ประเทศในทวีปยุโรปเองก็มีนาค (มังกร) เช่นกัน แต่ปัจจุบันถูกจินตนาการแต่งเสริมเติมแต่งไปเยอะ เช่น นาคมีขาและมีปีกเหมือนค้างคาว เป็นต้น
ส่วนนาคของทางอเมริกาใต้ในอารยธรรมเมโสอเมริกาโบราณ เช่น พวกแอซเท็ก (Aztec) เรียกว่า “งูขนนก” เพราะมันเหาะได้ คือ มังกรยาวๆ ชนิดหนึ่ง พวกเขานับถือเป็นเทพเจ้า เรียกว่า "เควทซัลโคลท์" (Quetzalcoatl) เป็นเทพแห่งลมและฝน คล้ายเป็นผู้สร้างโลกและมนุษย์ มีการบูชาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เทพองค์นี้มีชื่อต่างๆ กันในแต่ละที่แต่ละภาษา เช่น คูคุลคัน (Kukulkan) ในภาษาของพวกมายา (Maya) เป็นต้น
"นาค" หรือ "มังกร" จึงเป็นสัตว์ในตำนานที่มีปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าของมนุษย์ทั่วทั้งโลก
แม้แต่ "ไฮดรา" (Hydra) มังกร ๙ เศียรมีพิษในตำนานกรีกโบราณ ที่ถูกปราบโดยวีรบุรุษนามว่า "เฮอร์คิวลิส" (Hercules) ก็คือนาคนั่นเอง ซึ่ง ๙ เศียรนั้นยังเล็กน้อย เพราะตำนานในแถบบ้านเรานั้นเห็นไปถึง ๑๐๐ เศียร ๑,๐๐๐ เศียรก็มี
ในทางอารยธรรมอียิปต์โบราณเองก็มีนาค (มังกร) เหมือนกันกับเขา โดยเรียกในภาษาอียิปต์โบราณว่า "อาเปป" (Apep) หรือ "อาเปปิ" (Apepi) แต่ในภาษากรีกเรียกว่า "อาโปฟิส" (Apophis)
ในปกรณัมนอร์ส (สแกนดิเนเวีย) มังกรหรืองูยักษ์ "ยอร์มุนกานดร์" (Jörmungandr) ที่มีขนาดตัวที่ยาวใหญ่จนสามารถพันรอบ "โลก" หรือ "มิดการ์ด" (Midgard) อันเป็นภพภูมิ (มนุษย์) ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของมหาพฤกษาอิกดราซิล (Yggdrasil) ได้นั้น ก็คือนาคเช่นกัน
ตรงนี้ถ้าใครคิดว่า "ยอร์มุนกานดร์" เป็นนาคหรือมังกรที่ตัวใหญ่ที่สุดแล้วนั้น ถือว่าคิดผิด เพราะยังมีนาคหรือมังกรที่มีขนาดตัวที่ใหญ่กว่ายอร์มุนกานดร์หลายเท่าอยู่อีก เช่น พญานันโทปนันทนาคราช ที่มีพระวรกายใหญ่โตขนาดที่สามารถพันรอบเขาพระสุเมรุอันเป็นแกนกลางของจักรวาลได้ถึง ๗ รอบ แต่ยอร์มุนกานดร์พันได้แค่รอบโลก แค่ภพภูมิมิดการ์ด และพันได้เพียง ๑ รอบเท่านั้น
ในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน จะมีผู้ที่ดำรงตำแหน่งธรรมบาล (Dharmapala) อันมีหน้าที่เพื่อปกป้องพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่า "สัตว์ในคติ ๘" (Aṣṭagatyaḥ | อษฺฏคตฺยะ หรือ Aṣṭauparṣadaḥ | อษฺเฏาปรฺษทะ) หรือที่เราคุ้นหูกันในชื่อ "แปดเทพอสูรมังกรฟ้า" (天龍八部) ของจีนนั่นเอง
เหล่าธรรมบาลในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานทั้ง ๘ นั้น มีดังนี้
๑.เทพ (Deva | 天众)
๒.นาค (Naga | 龙众)
๓.ยักษ์ (Yaksa | 夜叉)
๔.คนธรรพ์ (Gandharva | 乾达婆)
๕.อสูร (Asura | 阿修)
๖.ครุฑ (Garuda | 迦楼罗)
๗.กินนร (Kinnara | 紧那罗)
๘.มโหราค (Mahoraga | 摩睺罗伽)
ในข้อที่ ๒ อย่างนาคนั้น ชาวจีนจะเรียกนาค (Naga) เป็นคำว่ามังกร (龙众) แทน เพราะนาคกับมังกรก็คือสิ่งเดียวกันนั่นเอง
- คลิปยูทูป "มังกรมีจริงมั้ย" โดยหลวงตาม้า
https://youtu.be/qsjK1TSaNEM
สรุปก็คือ นาค (มังกร) พวกนี้เป็น "นามกาย" (Namakaya) ไม่ใช่ "รูปกาย" (Rupakaya) หยาบๆ แบบมังสกาย (กายเนื้อ) เหมือนภพภูมิมนุษย์ภพภูมิสัตว์เดรัจฉานอย่างที่พวกเราเห็นกันเป็นปกติด้วย "มังสจักษุ" (ตาเนื้อ) ในชีวิตประจำวัน
ซึ่งการที่มนุษย์เราจะเห็นพวกนามกายที่อาศัยอยู่ในอีกมิติ (ภพซ้อนภพหรือโลกทิพย์) ได้นั้น เราต้องฝึกสมาธิให้จักษุ (ดวงตา) ของเราพัฒนาจนเป็น "ทิพยจักษุ" (ตาทิพย์) แล้วเท่านั้น ส่วน "ทิพยโสต" (หูทิพย์) จะตามมาเองพร้อมๆ กับตาทิพย์
ด้วยเหตุนี้ จงอย่าพยายามตามหาซากฟอสซิลของนาค (มังกร) เลย เพราะมันเสียเวลาเปล่าๆ ต่อให้งมน้ำในแม่น้ำโขงแบบเป็นจริงเป็นจัง ก็ไม่มีวันได้เจอได้เห็นนาค (มังกร) หรอก ถ้าจะเจอจะเห็นก็คงเป็นปลาไหลน้ำจืดแทน [สัตว์เทพอันน่าอัศจรรย์เหล่านี้พวกเขาอยู่กันคนละมิติกับพวกเรา]